วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
เศษอาหารติดซอกฟัน จะใช้ไม้จิ้มฟันหรือไหมขัดฟันดี?
เชื่อว่าเกือบทุกท่านคงเคยทรมานจากอาการปวดฟันกันมาแล้ว นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้ บางท่านที่ยังไม่เคยก็อาจจะคิดว่า มันจะขนาดนั้นเชียวเหรอ... อะฮ๊ะ!อย่าได้คิดดูถูกอาการปวดฟันเป็นอันขาดเชียวนะคร้าบบ ใครไม่ลอง เอ๊ย ไม่เป็นไม่รู้หรอกครับ คุณลองจินตนาการถึงมดตัวโต ๆ หรือตัวอะไรก็ได้กำลังกัดแทะข้างในเหงือกของคุณอยู่และบางทีก็รู้สึกเหมือนว่าตัวมันกำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ จนจะทะลุเหงือกของคุณออกมา ซี้ดดด...แค่คิดก็เสียวแล้ว...
ก็คงรู้กันดีอยู่แล้วนะครับว่าอาการปวดฟันนั้นมีสาเหตุหลัก ๆ จากเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยเหงือกและฟันของเราเป็นบ้านแสนสุขและอาศัยเศษอาหารที่ติดตามซอกฟันเราเป็นอาหาร กระบวนการเหล่านี้ของมันนี่แหละจะปล่อยสารที่ทำอันตรายกับฟันของเราและทำให้ฟันเราผุในที่สุด
ซึ่งก็สามารถป้องกันฟันผุได้โดยการหมั่นแปรงฟัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง อันนี้เรารู้ดี แต่การแปรงฟันก็ช่วยแค่ทำความสะอาดผิวฟันและซอกฟันด้านนอกเท่านั้น เพราะในซอกฟันลึก ๆ แล้วแปรงสีฟันไม่สามารถซอกซอนเข้าไปทำความสะอาดได้เลย ถึงแม้แปรงสีฟันที่เราใช้จะมีขนแปรงเรียวแหลมยิ่งกว่าในโฆษณาก็ตาม
ในกรณีนี้ตัวช่วยที่แทบทุกคนชอบใช้ก็คือ ไม้จิ้มฟัน แต่เกือบร้อยทั้งร้อยใช้ไม้จิ้มฟันผิดวิธี ผมฟันธง(เพราะผมเองก็เคยใช้แบบนี้) เพราะที่เห็นมักจะใช้ไม้จิ้มฟันแบ่งเป็นซีกเล็ก ๆ แล้วแหย่หรือกระทุ้งเศษอาหารที่ติดในซอกฟันให้หลุดออกมาแต่คุณรู้ไหมว่านั่นแหละเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดกลิ่นปากเพราะปลายของไม้จิ้มฟันอาจไปทำให้เกิดแผลกับเหงือกของคุณจนทำให้เกิดการอักเสบขึ้นได้ สังเกตได้จากทุกครั้งที่คุณทำแบบนี้คุณจะเห็นว่ามีเลือดติดตรงปลายไม้จิ้มฟันที่คุณใช้ออกมาด้วย ความจริงแล้วไม้จิ้มฟันใช้สำหรับแคะหรือเขี่ยเศษอาหารที่ติดตรงบริเวณซอกฟันด้านนอกออกโดยต้องระวังไม่ให้ปลายของไม้จิ้มฟันแหลม ๆ ไปโดนเหงือกจนเกิดบาดแผลขึ้นได้
แต่ถ้าหากคุณอึดอัด รำคาญ เศษเนื้อโกเบหรือเศษเนื้อย่างไม้ละไม่กี่บาทข้างทางที่เข้าไปอัดเบียดเสียดกันในซอกฟัน(โดยเฉพาะฟันกราม)จนคุณปวดตุบ ๆ จนทนไม่ไหว ผมขอแนะนำให้คุณใช้ ไหมขัดฟันครับ
ไหมขัดฟันทุกวันนี้ทำจากโพลีเอทธีลีน ซึ่งเป็นพลาสติกชนิดหนึ่งแต่ก็มีผู้คิดค้นไหมขัดฟันที่ทำจากเส้นไยรังไหมมาใช้กันบ้างแล้ว จุดประสงค์หลัก ๆ ของการใช้ไหมขัดฟันก็คือใช้ทำความสะอาดผิวฟันตรงบริเวณที่แปรงสีฟันเข้าไปไม่ถึงก็คือบริเวณซอกฟันเจ้าปัญหานั่นแหละครับ โดยวิธีใช้ก็ไม่ยุ่งยาก ให้คุณดึงไหมขัดฟันออกมาประมาณ 1 ไม้บรรทัด แล้วพันปลายทั้งสองด้านเข้ากับนิ้วกลางของมือแต่ละข้างให้แน่นแล้วใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งจับไหมเพื่อบังคับทิศทางในการขัด หลังจากนั้นก็คุณอยากจะขัดฟันซี่ไหนก็กดไหมให้แทรกผ่านซอกฟันซี่นั้นแล้วก็ถูไปมาโดยให้จำไว้ว่าต้องให้ไหมโอบรอบฟันซี่นั้นด้วย นี่ก็คือวิธีใช้ไหมขัดฟันที่ถูกต้องขั้นพื้นฐาน
แต่ต่อไปนี้เป็นวิธีที่ผมก็บอกไม่ได้ว่าถูกต้องหรือเปล่าแต่มันถูกใจผมและตอบโจทย์ แก้ปัญหาเศษอาหารติดแน่นในซอกฟันได้ดีมาก ๆ และประหยัดด้วยนะครับขอบอก ก็คือ ให้คุณดึงไหมขัดฟันออกมาประมาณ 20 เซนติเมตรหรือประมาณคืบกว่า ๆ แล้วผูกปมปลายทั้งสองด้านให้เป็นห่วงเล็ก ๆ ขนาดพอประมาณให้นิ้วชี้ของคุณสอดเข้าไปได้ และตรงกลางเส้นไหมให้คุณผูกปมเล็ก ๆ ไว้ จะปมใหญ ๆ ก็ได้แล้วแต่ขนาดรูซอกฟันของคุณ ดังภาพข้างล่างเลยครับ
หลังจากได้ไหมขัดฟันตามภาพแล้ว ให้คุณใช้นิ้วชี้ของคุณ ห้ามใช้ของคนอื่นนะครับ(55555...)สอดเข้าไปในห่วงตรงปลายทั้งสองด้านข้างละนิ้ว ดึงเส้นไหมให้ตึงแล้วใช้นิ้วกลางป็นตัวบังคับทิศทาง บางท่านอาจจะงง ๆ ว่าทำไมไม่เหมือนวิธีแรกข้างบน ก็แล้วแต่ถนัดนะครับแต่ผมถนัดวิธีนี้ พอได้แล้วก็ใช้นิ้วกลางกดเส้นไหมลงตรงซอกฟันที่มีเศษอาหารติดแน่นอยู่ อ้อ!ลืมบอกให้เอาบริเวณที่ไม่มีปมอยู่แทรกลงไปนะครับ หลังจากนั้นก็ดึงไหมให้ปมที่เราผูกไว้ลากผ่านซอกฟันพอจะนึกภาพออกแล้วใช่ไหมครับว่าปมที่ผูกไว้นี้ไว้ใช้ทำอะไร หลายท่านก็คงจะถึงบางอ้อแล้ว ใช่ครับเจ้าเศษอาหารตัวปัญหาก็จะถูกน้องปมของเราพาออกมาจากซอกฟันของเราในที่สุด หากยังไม่ออกก็ให้ดึงปมที่ผูกไว้นี้ลากผ่านซอกฟันเหมือนเดิมอีกรอบ แต่ต้องดึงไปทางเดียวกันกับครั้งแรกนะครับคือต้องเอาไหมออกจากซอกฟันก่อนและกดแทรกลงไปใหม่ตรงบริเวณเดิม ทำจนกว่าจะออกนั่นแหละครับ ไม่กี่รอบหรอกครับ
ก็ลองเอาไปทำดูนะครับวิธีนี้ ผมก็อธิบายค่อนข้างละเอียดนะครับ แต่ถ้ายังติดขัดอ่านไม่เข้าใจตรงไหนก็บอกได้นะครับ จะเข้ามาอธิบายให้อีกที
ผมว่าการใช้ไหมขัดฟันถึงแม้จะยุ่งยากกว่าไม้จิ้มฟันแต่มีประสิทธิภาพมากกว่านะครับ(จากประสบการณ์จริง) แถมยังสะอาดกว่าด้วย พกไปไหนมาไหนก็สะดวก แต่ถ้าไม่อยากผูกง่งผูกเงื่อนให้ลำบากบอกได้นะครับ ผมจะส่งไหมขัดฟันมือสองที่ผูกเงื่อนผูกปมและทดลองเรียบร้อยแล้วไปให้!!?...บรึ๋ย
ป้ายกำกับ:
ซอกฟัน,
ไม้จิ้มฟัน,
วิธีใช้,
เศษอาหาร,
ไหมขัดฟัน
วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
น้ำผึ้ง ยาอายุวัฒนะ น้องแมว
ด้วยเพราะที่บ้านเลี้ยงน้องแมวไว้หลายตัวอยู่ประจำบ้านเลยก็ประมาณ 6 ตัวที่วิ่งรอกบ้านนั้นทีบ้านนี้ที อีก 2 ตัวเลยได้เห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับตัวเขาหลายอย่างมากมาย
น้องแมวหรือแม้แต่สัตว์ชนิดอื่นผมคิดว่าก็คงเหมือนกันกับคนเรา ทั้งอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ รัก โลภ โกรธ หลง เศร้า เหงา 9ล9 จริง ๆ นะครับไม่ได้โม้ เรื่องพวกนี้วันหลังจะนำมาเล่าสู่กันฟัง...ฮามากๆ...ขอบอก
และอีกอย่างหนึ่งที่เลี่องไม่ได้เลยคือ การเจ็บไข้ได้ป่วยคุณ ๆ ทาสแมวทั้งหลายคงเคยเห็นน้องแมวไปกินหญ้าแถวหลังบ้านข้างบ้านกันอยู่บ้าง นั่นไม่ใช่เป็นเทศกาลกินเจของน้องแมวเขาหรอกนะครับแต่เป็นหนึ่งในหลาย ๆ วิธีในการกำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งไม่พึงประสงค์ที่เค้าอาจจะเผลอกลืนลงท้องไปแล้วพาให้เกิดโรคภัยหรือความไม่สบายกายไม่สบายใจให้กับเขาได้
โดยหลังจากที่น้องแมวกินใบหญ้า(ส่วนมากจะเป็นพวกหญ้าใบแคบใบยาวต่าง ๆ )เข้าใปแล้ว เขาก็จะอ้วกออกมา แล้วสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่อยู่ในกระเพาะเขาก็จะติดออกมาด้วย ถือว่าเป็นสัญชาติญานการเอาตัวรอดของพวกเขาอย่างหนึ่ง ก็คงเหมือนกับการปฐมพยาบาลของคนเรากระมัง
แต่หลังจากนั้นหากเขาป่วยเป็นโรคที่ตัวเขาเองก็ยังเยียวยาตัวเองไม่ได้เขาก็จะแสดงอาการผิดปกติออกมาให้เห็นตามอาการของโรค เช่น ถ้าหากเห็นเขาท้องเสียเดินโซซัดโซเซหมดเรี่ยวหมดแรง(เห็นบ่อยมาก ๆ )สันนิษฐานได้เลยว่าต้องเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารหรือลำไส้แน่นอนหรือหากมีอาการอย่างอื่นที่เรามองว่าผิดปกติอย่าได้นิ่งนอนใจนะครับที่ปรึกษาคุณหมอ(สัตวแพทย์)ก่อนเลย
จากประสบการณ์จริงแมวที่มักป่วยหรือไม่สบายบ่อย ๆ มักจะเป็นพวกลูกแมวเป็นส่วนใหญ่แต่พอโตขึ้นอายุย่างเข้า 5 - 6 เดือน ก็มักจะเติบโตแข็งแรงไม่เป็นอะไรง่ายๆอีกแล้ว
ไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไรหากป่วยอยู่ เขามักจะเบื่ออาหาร ไม่กินอาหาร ทำให้ร่างกายซูบผอม หลังจากรับการรักษาและได้ยามาแล้วเขาก็จะเริ่มดีขึ้นแต่ก็อาจจะยังไม่กินข้าวกินน้ำหรือกินได้น้อยเหมือนเดิม
หากคุณทาสแมวคนไหนเห็นแล้วใจคอไม่ดีอยากให้เขากลับมาแข็งแรงเร็ว ๆ ผมมีวิธีที่ทำให้น้องแมวสุดที่รักของคุณฟื้นไข้หรือหายจากอาการป่วยได้ไวขึ้นมาฝาก
ไม่ยากเลยครับหากเขาไม่กินอาหาร ให้คุณเอาน้ำผึ้งแท้มาใส่ในถ้วยประมาณสักเล็กน้อย(สัก 1 ช้อนชา)แล้วใช้นิ้วชี้จุ่มน้ำผึ้งนั้นนำมาป้ายบริเวณปากของน้องแมวของคุณ หากยังไม่พอก็เอามาป้ายตรงบริเวณข้างเท้าด้านในของเท้าหน้าทั้งสองข้างของเขา ด้วยความที่เขาเป็นสัตว์รักสะอาดมาก ๆ เขาจะบรรจงเลีย...เลีย...แล้วก็เลีย ที่นี้น้ำผึ้งของคุณก็จะเข้าไปสร้างอิทธิ์ปาฏิหารให้เห็น ให้คุณทำอย่างนี้วันละ 3 ครั้ง ประมาณ 3 วันติดต่อกัน แล้วน้องแมวของคุณ ก็จะมีอาการดีขึ้น
ก็อย่างที่รู้กันแล้วว่าน้ำผึ้งถือว่าเป็นสมุนไพรชั้นยอดอีกชนิดหนึ่ง(ต้องเป็นน้ำผึ้งแท้เท่านั้นนะครับ)มนุษย์เราก็ยังนำมาเป็นส่วนผสมในยาแผนโบราณหลายขนาน ดังนั้นคุณจะไม่แปลกใจเลยที่หลังจากได้น้ำผึ้งแล้วน้องแมวของคุณจะอาการดีวันดีคืน จนหายเป็นปกติ
ตัวผู้เขียนและภรรยาเองเสียใจเสียน้ำตาไปกับการสูญเสียลูกแมวหลายต่อหลายครั้ง(เป็นคุณแม่บ้านเสียส่วนใหญ่)แต่หลังจากลองวิธีนี้แล้วก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแมวที่ป่วยนั้นฟื้นตัวเร็วมาก ไม่ว่าเขาจะมีอาการผิดปกติรุนแรงขนาดไหน บางตัวท้องเสียรุนแรงจนลุกไม่ขึ้น กินอะไรไม่ได้เลย ปากเปิกซีดหมด จนคุณแม่บ้านร้องให้รอแล้ว เพราะเซิร์สหาข้อมูลจากที่ต่างๆแล้วพูดตรงกันว่าส่วนมากอาการแบบนี้มักจะไม่รอด แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดครับท่านผู้อ่าน หลังจากได้รับน้ำผึ้งแล้ว อีก 3 วันถัดมา ก็ลุกขึ้นกินอาหารไม่กี่วันถัดมาก็ลุกขึ้นวิ่งเล่นได้ วิ่งไล่กันชนแข้งชนขาคุณแม่บ้านจนเกือบล้มจนต้องก่นด่าสำขโมงโฉงเฉง ก็ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ๆ สำหรับผมอีกเรื่องหนึ่ง
ถึงจะมีแค่ยาหรือน้ำผึ้งบริสุทธิ์ขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากขาดความรักความเอาใจใส่จากเจ้าของอย่างเรา ๆ แล้วเขาก็คงไม่กลับมาร่าเริงแจ่มใสได้เร็วขนาดนั้น ก็ในเมื่อเราเลี้ยงเขาแล้วเขาอยู่กับเราแล้ว เราก็ควรให้ความรักความเอาใจใส่เขาให้มาก ๆ เขาจะได้อยู่กับเราไปนาน ๆ เราจะได้เป็นทาสแมวไปนาน ๆ ยังไงล่ะครับ เหอ เหอ
คราวหน้าจะนำเรื่องเกี่ยวกับน้องแมวที่คุณเองถ้าได้รู้แล้วจะอึ้งมาเล่าสู่กันฟัง อย่างเช่น คุณรู้ไหมว่าแมวก็ฝันเป็น บางทีถึงกับละเมอเลยก็มีและคุณรู้ไหมว่าแมวก็เหงาเป็น อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็อีกมากมาย แล้วพบกันใหม่คราวหน้านะครับ by๋e bye
น้องแมวหรือแม้แต่สัตว์ชนิดอื่นผมคิดว่าก็คงเหมือนกันกับคนเรา ทั้งอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ รัก โลภ โกรธ หลง เศร้า เหงา 9ล9 จริง ๆ นะครับไม่ได้โม้ เรื่องพวกนี้วันหลังจะนำมาเล่าสู่กันฟัง...ฮามากๆ...ขอบอก
และอีกอย่างหนึ่งที่เลี่องไม่ได้เลยคือ การเจ็บไข้ได้ป่วยคุณ ๆ ทาสแมวทั้งหลายคงเคยเห็นน้องแมวไปกินหญ้าแถวหลังบ้านข้างบ้านกันอยู่บ้าง นั่นไม่ใช่เป็นเทศกาลกินเจของน้องแมวเขาหรอกนะครับแต่เป็นหนึ่งในหลาย ๆ วิธีในการกำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งไม่พึงประสงค์ที่เค้าอาจจะเผลอกลืนลงท้องไปแล้วพาให้เกิดโรคภัยหรือความไม่สบายกายไม่สบายใจให้กับเขาได้
โดยหลังจากที่น้องแมวกินใบหญ้า(ส่วนมากจะเป็นพวกหญ้าใบแคบใบยาวต่าง ๆ )เข้าใปแล้ว เขาก็จะอ้วกออกมา แล้วสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่อยู่ในกระเพาะเขาก็จะติดออกมาด้วย ถือว่าเป็นสัญชาติญานการเอาตัวรอดของพวกเขาอย่างหนึ่ง ก็คงเหมือนกับการปฐมพยาบาลของคนเรากระมัง
แต่หลังจากนั้นหากเขาป่วยเป็นโรคที่ตัวเขาเองก็ยังเยียวยาตัวเองไม่ได้เขาก็จะแสดงอาการผิดปกติออกมาให้เห็นตามอาการของโรค เช่น ถ้าหากเห็นเขาท้องเสียเดินโซซัดโซเซหมดเรี่ยวหมดแรง(เห็นบ่อยมาก ๆ )สันนิษฐานได้เลยว่าต้องเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารหรือลำไส้แน่นอนหรือหากมีอาการอย่างอื่นที่เรามองว่าผิดปกติอย่าได้นิ่งนอนใจนะครับที่ปรึกษาคุณหมอ(สัตวแพทย์)ก่อนเลย
จากประสบการณ์จริงแมวที่มักป่วยหรือไม่สบายบ่อย ๆ มักจะเป็นพวกลูกแมวเป็นส่วนใหญ่แต่พอโตขึ้นอายุย่างเข้า 5 - 6 เดือน ก็มักจะเติบโตแข็งแรงไม่เป็นอะไรง่ายๆอีกแล้ว
ไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไรหากป่วยอยู่ เขามักจะเบื่ออาหาร ไม่กินอาหาร ทำให้ร่างกายซูบผอม หลังจากรับการรักษาและได้ยามาแล้วเขาก็จะเริ่มดีขึ้นแต่ก็อาจจะยังไม่กินข้าวกินน้ำหรือกินได้น้อยเหมือนเดิม
หากคุณทาสแมวคนไหนเห็นแล้วใจคอไม่ดีอยากให้เขากลับมาแข็งแรงเร็ว ๆ ผมมีวิธีที่ทำให้น้องแมวสุดที่รักของคุณฟื้นไข้หรือหายจากอาการป่วยได้ไวขึ้นมาฝาก
ไม่ยากเลยครับหากเขาไม่กินอาหาร ให้คุณเอาน้ำผึ้งแท้มาใส่ในถ้วยประมาณสักเล็กน้อย(สัก 1 ช้อนชา)แล้วใช้นิ้วชี้จุ่มน้ำผึ้งนั้นนำมาป้ายบริเวณปากของน้องแมวของคุณ หากยังไม่พอก็เอามาป้ายตรงบริเวณข้างเท้าด้านในของเท้าหน้าทั้งสองข้างของเขา ด้วยความที่เขาเป็นสัตว์รักสะอาดมาก ๆ เขาจะบรรจงเลีย...เลีย...แล้วก็เลีย ที่นี้น้ำผึ้งของคุณก็จะเข้าไปสร้างอิทธิ์ปาฏิหารให้เห็น ให้คุณทำอย่างนี้วันละ 3 ครั้ง ประมาณ 3 วันติดต่อกัน แล้วน้องแมวของคุณ ก็จะมีอาการดีขึ้น
ก็อย่างที่รู้กันแล้วว่าน้ำผึ้งถือว่าเป็นสมุนไพรชั้นยอดอีกชนิดหนึ่ง(ต้องเป็นน้ำผึ้งแท้เท่านั้นนะครับ)มนุษย์เราก็ยังนำมาเป็นส่วนผสมในยาแผนโบราณหลายขนาน ดังนั้นคุณจะไม่แปลกใจเลยที่หลังจากได้น้ำผึ้งแล้วน้องแมวของคุณจะอาการดีวันดีคืน จนหายเป็นปกติ
ตัวผู้เขียนและภรรยาเองเสียใจเสียน้ำตาไปกับการสูญเสียลูกแมวหลายต่อหลายครั้ง(เป็นคุณแม่บ้านเสียส่วนใหญ่)แต่หลังจากลองวิธีนี้แล้วก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแมวที่ป่วยนั้นฟื้นตัวเร็วมาก ไม่ว่าเขาจะมีอาการผิดปกติรุนแรงขนาดไหน บางตัวท้องเสียรุนแรงจนลุกไม่ขึ้น กินอะไรไม่ได้เลย ปากเปิกซีดหมด จนคุณแม่บ้านร้องให้รอแล้ว เพราะเซิร์สหาข้อมูลจากที่ต่างๆแล้วพูดตรงกันว่าส่วนมากอาการแบบนี้มักจะไม่รอด แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดครับท่านผู้อ่าน หลังจากได้รับน้ำผึ้งแล้ว อีก 3 วันถัดมา ก็ลุกขึ้นกินอาหารไม่กี่วันถัดมาก็ลุกขึ้นวิ่งเล่นได้ วิ่งไล่กันชนแข้งชนขาคุณแม่บ้านจนเกือบล้มจนต้องก่นด่าสำขโมงโฉงเฉง ก็ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ๆ สำหรับผมอีกเรื่องหนึ่ง
ถึงจะมีแค่ยาหรือน้ำผึ้งบริสุทธิ์ขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากขาดความรักความเอาใจใส่จากเจ้าของอย่างเรา ๆ แล้วเขาก็คงไม่กลับมาร่าเริงแจ่มใสได้เร็วขนาดนั้น ก็ในเมื่อเราเลี้ยงเขาแล้วเขาอยู่กับเราแล้ว เราก็ควรให้ความรักความเอาใจใส่เขาให้มาก ๆ เขาจะได้อยู่กับเราไปนาน ๆ เราจะได้เป็นทาสแมวไปนาน ๆ ยังไงล่ะครับ เหอ เหอ
คราวหน้าจะนำเรื่องเกี่ยวกับน้องแมวที่คุณเองถ้าได้รู้แล้วจะอึ้งมาเล่าสู่กันฟัง อย่างเช่น คุณรู้ไหมว่าแมวก็ฝันเป็น บางทีถึงกับละเมอเลยก็มีและคุณรู้ไหมว่าแมวก็เหงาเป็น อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็อีกมากมาย แล้วพบกันใหม่คราวหน้านะครับ by๋e bye
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
สะอึกแล้วได้ตังคงรวยไม่รู้เรื่องแล้ว
ว่าจะเขียนหลายครั้งแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ลืมทุกครั้งเลยสิน่า จนเมื่อกี๊ตอนกินข้าว ด้วยความที่เร่งรีบ(ไม่รู้จะรีบทำไมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน)และอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นแกงคั่วเนื้อสูตรปักษ์ใต้ไง แบบว่าเผ็ดมากกกกก(ชอบอะทำไงได้...วันหลังจะเอาสูตรมาแจกนะ)เลยทำให้เกิดอาการที่ใครหลายๆคนก็คงจะเคยเป็น สะอึก นั่นเอง
อาการสะอึก เกิดขึ้นได้เอง(ป้องกันไม่ได้นะรู้ยัง)สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดแต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นตอนที่เรากินอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีรสเผ็ดจัดๆทำให้กระเพาะอาหารเราระคายเคืองส่งผลไปยังระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระบังลมและอวัยวะในระบบหายใจหลายส่วนทำให้อวัยวะเหล่านี้ทำงานไม่สัมพันธ์กัน ไม่เพียงแต่ปัจจัยเรื่องรสชาติอาหารเท่านั้น อาหารที่มีแก๊สมากๆ เช่น ถัง ปตท. เอ๊ย!ไม่เกี่ยว อาหารพวกของหมักดอง หรืออาหารที่มีกลิ่นฉุนทั้งหลาย รวมถึงพฤติกรรมการกินบางอย่างเช่น กินไปคุยไป หรือกินเร็วจนคนอื่นกินไม่ทันก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการสะอึกขึ้นได้(โดนแช่งไงสมหน้า)
ปรกติแล้วอาการสะอึกจะสามารถหายได้เองโดยใช้เวลาไม่นานแต่ถ้านานเป็นวันๆ ทำไงก็ไม่หาย ไปโรงพยาบาลเหอะครับ
แต่ก่อนอื่น ลองมาดูวิธีแก้อาการสะอึกที่เราสามารถทำได้เองง่ายๆ(เค้าว่ากันอย่างนั้น)ดีกว่าครับ
- ดื่มน้ำเย็นๆ
- หายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นไว้10วิ หายใจออกแล้วดื่มน้ำหนึ่งแก้ว
- จิบน้ำจากแก้วเร็วๆ รัวๆ
- ดื่มน้ำจากขอบปากแก้วด้านตรงข้ามโดยการก้มหัวลงดื่ม
- ทำให้ตกใจ หรือสะดุ้ง
- หายใจเข้าออกในถุงพลาสติก
- ถ้าเป็นเด็กเล็กๆให้อุ้มพาดบ่าแล้วลูบหลัง
9ฯ9
ซึ่งแต่ละวิธีก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง บางวิธีแรกๆก็ได้ผลดีแต่พอใช้ไปหลายๆครั้ง กลับไม่ได้ผล ไม่หายซะงั้น เอ๊ะ!หรือว่าอาการสะอึกมันจะมีการวิวัฒนาการต้านการแก้ไขหว่า...บ้าไปแล้วววว
แต่วันนี้จะมาแนะนำวิธีการแก้อาการสะอึกที่ได้ผลชะงัดนัก แนะนำใครก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจไปตามๆกัน
วิธีการง่ายๆครับไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรให้ยุ่งยาก ให้คุณหายใจเข้า ออก ช้าๆ ยาวๆ เป็นจังหวะ ดังนี้ครับ
1.ให้หายใจเข้าช้าๆโดยเริ่มนับ 1ในใจพร้อมๆกับเริ่มหายใจเข้านับไปเรื่อยๆเป็นจังหวะช้าๆพอๆกับความเร็ววินาที พยายามหายใจเข้าจนสุดให้พอดีกันกับการนับถึง10พอดี
2.เมื่อหายใจเข้าสุดแล้วให้กลั้นหายใจไว้อีก10วินาที(นับในใจ)
3.กลั้นหายใจครบ10วิแล้วก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกยาวๆทีละนิดทีละนิดจนหายใจออกจนสุดพอดีกับเวลา10วิพอดี(นับในใจเช่นเดิม)
ทำสามขั้นตอนนี้ซ้ำๆกันหลายๆรอบ ช่วงแรกๆจะยังคงมีการสะอึกอยู่ แต่ไม่ต้องสนใจทำตามขั้นตอนต่อไปเรื่อยๆ ช่วงระยะห่างของการสะอึกจะค่อยๆห่างขึ้นเรื่อยๆจนหายไปในที่สุด แต่บอกก่อนนะครับว่า อย่าขี้โกงแอบนับเร็วๆตอนจะหมดลมนะครับเพราะเดี๋ยวจะไม่ได้ผล คุณต้องแบ่งลมหายใจคุณให้ดีๆ รับประกันว่าไม่เกินสิบรอบ คุณจะหายสะอึกอย่างแน่นอน
เอาไปลองใช้ดูนะครับ ได้ผลยังไงก็กลับมาบอกกันด้วย หรือจะเอาไปแนะนำต่อให้กับคนอื่นด้วยยิ่งดี เพราะถ้าเกิดสะอึกแล้วทำไงก็ไม่หายมันโคตรจะทรมาน!
อ้อ!แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนที่ขี้หงุดหงิด ใจร้อน ต่อมการรอบกพร่องนะครับ รับรองไม่ได้ผลกับพวกนี้หรอก55555
อาการสะอึก เกิดขึ้นได้เอง(ป้องกันไม่ได้นะรู้ยัง)สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดแต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นตอนที่เรากินอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีรสเผ็ดจัดๆทำให้กระเพาะอาหารเราระคายเคืองส่งผลไปยังระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระบังลมและอวัยวะในระบบหายใจหลายส่วนทำให้อวัยวะเหล่านี้ทำงานไม่สัมพันธ์กัน ไม่เพียงแต่ปัจจัยเรื่องรสชาติอาหารเท่านั้น อาหารที่มีแก๊สมากๆ เช่น ถัง ปตท. เอ๊ย!ไม่เกี่ยว อาหารพวกของหมักดอง หรืออาหารที่มีกลิ่นฉุนทั้งหลาย รวมถึงพฤติกรรมการกินบางอย่างเช่น กินไปคุยไป หรือกินเร็วจนคนอื่นกินไม่ทันก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการสะอึกขึ้นได้(โดนแช่งไงสมหน้า)
ปรกติแล้วอาการสะอึกจะสามารถหายได้เองโดยใช้เวลาไม่นานแต่ถ้านานเป็นวันๆ ทำไงก็ไม่หาย ไปโรงพยาบาลเหอะครับ
แต่ก่อนอื่น ลองมาดูวิธีแก้อาการสะอึกที่เราสามารถทำได้เองง่ายๆ(เค้าว่ากันอย่างนั้น)ดีกว่าครับ
- ดื่มน้ำเย็นๆ
- หายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นไว้10วิ หายใจออกแล้วดื่มน้ำหนึ่งแก้ว
- จิบน้ำจากแก้วเร็วๆ รัวๆ
- ดื่มน้ำจากขอบปากแก้วด้านตรงข้ามโดยการก้มหัวลงดื่ม
- ทำให้ตกใจ หรือสะดุ้ง
- หายใจเข้าออกในถุงพลาสติก
- ถ้าเป็นเด็กเล็กๆให้อุ้มพาดบ่าแล้วลูบหลัง
9ฯ9
ซึ่งแต่ละวิธีก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง บางวิธีแรกๆก็ได้ผลดีแต่พอใช้ไปหลายๆครั้ง กลับไม่ได้ผล ไม่หายซะงั้น เอ๊ะ!หรือว่าอาการสะอึกมันจะมีการวิวัฒนาการต้านการแก้ไขหว่า...บ้าไปแล้วววว
แต่วันนี้จะมาแนะนำวิธีการแก้อาการสะอึกที่ได้ผลชะงัดนัก แนะนำใครก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจไปตามๆกัน
วิธีการง่ายๆครับไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรให้ยุ่งยาก ให้คุณหายใจเข้า ออก ช้าๆ ยาวๆ เป็นจังหวะ ดังนี้ครับ
1.ให้หายใจเข้าช้าๆโดยเริ่มนับ 1ในใจพร้อมๆกับเริ่มหายใจเข้านับไปเรื่อยๆเป็นจังหวะช้าๆพอๆกับความเร็ววินาที พยายามหายใจเข้าจนสุดให้พอดีกันกับการนับถึง10พอดี
2.เมื่อหายใจเข้าสุดแล้วให้กลั้นหายใจไว้อีก10วินาที(นับในใจ)
3.กลั้นหายใจครบ10วิแล้วก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกยาวๆทีละนิดทีละนิดจนหายใจออกจนสุดพอดีกับเวลา10วิพอดี(นับในใจเช่นเดิม)
ทำสามขั้นตอนนี้ซ้ำๆกันหลายๆรอบ ช่วงแรกๆจะยังคงมีการสะอึกอยู่ แต่ไม่ต้องสนใจทำตามขั้นตอนต่อไปเรื่อยๆ ช่วงระยะห่างของการสะอึกจะค่อยๆห่างขึ้นเรื่อยๆจนหายไปในที่สุด แต่บอกก่อนนะครับว่า อย่าขี้โกงแอบนับเร็วๆตอนจะหมดลมนะครับเพราะเดี๋ยวจะไม่ได้ผล คุณต้องแบ่งลมหายใจคุณให้ดีๆ รับประกันว่าไม่เกินสิบรอบ คุณจะหายสะอึกอย่างแน่นอน
เอาไปลองใช้ดูนะครับ ได้ผลยังไงก็กลับมาบอกกันด้วย หรือจะเอาไปแนะนำต่อให้กับคนอื่นด้วยยิ่งดี เพราะถ้าเกิดสะอึกแล้วทำไงก็ไม่หายมันโคตรจะทรมาน!
อ้อ!แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนที่ขี้หงุดหงิด ใจร้อน ต่อมการรอบกพร่องนะครับ รับรองไม่ได้ผลกับพวกนี้หรอก55555
วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ก่อนจะคิดหารายได้พิเศษช่วง"ฟื้นตัว"
หลังจากฟังท่านผู้นำพูดกรอกหูอยู่ทุกอาทิตย์ว่า "ขณะนี้สภาพเศรษฐกิจสังคมของเราอยู่ในช่วงฟื้นตัวขอให้พวกเราอดทนกันหน่อย " ส่วนตัวแล้วเชื่อนะครับไม่ใช่ไม่เชื่อแต่สงสัยประเทศไทยเราคงป่วยหนักมากๆมาก่อน ถึงได้ใช้เวลาฟื้นตัวนานมากกก...ก(ก.ไก่เยอะมาก)
กว่าจะผ่าน"ช่วงฟื้นตัว" นี้ไปได้หลายคนคงหัวหมุนกับการหารายได้พิเศษเพื่อให้พอกับรายจ่ายที่นับวันจะเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ
นาทีนี้หากคุณยังไม่เจอหนทางหารายได้เพิ่มลองเก็บเรื่องนี้ใส่ลิ้นชักไปก่อนไม๊ เพราะผมมีเคล็ดลับที่จะพาคุณผ่าน"ช่วงฟื้นตัว"นี้ไปโดยที่บางทีคุณอาจไม่ต้องหัวหมุนหางานพิเศษทำหรือนำเงินเก็บ(ที่อาจมีไม่มาก..หรือมาก...ก็ช่างคุณสิ)ออกมาลงทุนทำอะไรที่แม่แต่ตัวคุณเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะคืนทุนเมื่อไหร่(หรือจะได้คืนหรือเปล่า)
เคล็ดลับที่ว่ามีเพียงข้อเดียวเท่านั้นครับ และใช่ว่าจะไม่เคยผ่านตาคุณมาก่อนเลย นั่นก็คือ การทำบัญชีรายรับรายจ่าย คนแถวบ้านก็เรียก บัญชีครัวเรือน อันเดียวกันนั่นแหละครับ บางคนอาจคิดว่า "อ่านมาตั้งนานนึกว่าจะอะไรซะอีก กะอีแค่ทำบัญชีรายรับรายจ่ายจะไปช่วยอะไร๊ จะทำให้ได้เงินเพิ่มได้ไง" ครับ ผมไม่เถียง มันไม่ได้ช่วยให้ได้เงินเพิ่มขึ้นมาหรอกครับ แต่มันเป็นวิธีที่จะบอกสถานะทางการเงินของคุณอย่างละเอียด(นอกจากดูจากจำนวนซองมาม่าในถังขยะตอนสิ้นเดือน) มันสามารถบอกคุณได้ว่าเดือนนึงคุณหมดเงินไปกับเรื่องไร้สาระอะไรบ้างและเท่าไร สมมุติบางคนคิดมากฝรั่งอาจจะซื้อวันละ 20 บาทน้ำอัดลมขวดนึง 10 บาท ขนมจุกจิก(แค่พอให้เข็มตัวเลขชี้บอกน้ำหนักคุณไม่ให้เบาไปกว่าเดือนก่อนๆ)อาจจะซัก 30 บาท ค่านู่นนี่นั่นอีก 30 บาทอะ ส่วนคุณผู้หญิงอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ทั้งค่าแป้งโบ๊ะหน้า สีทาปาก ทาตา ทาเล็บ ทาหัว ทาหู ทาอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายสุดที่จะจินตนาการไปถึง...สมัยนี้...เฮ่อ ต่างคนก็ต่างเหตุผลว่ากันไป
ก็นั้นแหละครับ บางคนฟังแล้วก็อาจจะคิดว่า "ก็มันเยอะตรงไหนรวมแล้วยังไม่ถึงร้อยเลยโด่...บางคนยังเยอะกว่านี้อีก"
ใช่ครับ แต่ละครั้งที่จ่ายมันไม่มากก็จริง บางทียื่นเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกงออกไปจากมือมันรู้สึกว่าน้อยมากๆ พอมารวมทั้งวันแล้วก็ยังไม่มากอยู่ดีแต่คุณลองเอาเลข 30 ไปคูณดูสิครับ สำหรับบางคนมันพอสำหรับค่าเช่าบ้านเลยนะครับ บางคนได้ค่าผ่อนรถ บางคนก็ได้ค่าขนมลูก ได้อะไรเยอะแยะที่บางเดือนคุณต้องหาจากที่อื่นมาโปะ นี่แค่เดือนเดียวนะ ถ้าปีหนึ่งล่ะ ได้เงินก้อนนึงเลยนะนั่น แล้วทีนี้คุณรู้แล้วใช่ไหมล่ะว่าเงินแค่วันละไม่ถึง 100 สิ้นเดือนหรือสิ้นปีมา มีค่ามหาศาลขนาดไหน
แต่ก็นั่นแหละ วิธีนี้มันก็เป็นแค่กุญแจดอกหนึ่ง ทำได้แค่ปลดล็อคเท่านั้น แต่จะผ่านพ้นมันไปได้คุณต้องดันประตูออกไป ใช่ครับ สุดท้ายก็ต้องเป็นตัวคุณเองนั่นแหละที่จะยอมรับความจริงว่าอันไหนสาระอันไหนไร้สาระ อยู่ที่คุณแล้วว่ากล้าพอหรือเปล่าที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตกล้าพอที่จะตัดอะไรๆ ออกไปบ้าง
พ่อของผมเคยบอกกับผมว่า "ยอมลำบากดีกว่าจำเป็นต้องลำบาก" หมายความว่าหากเรายอมรับสภาพและยินดีจะลำบากเราจะรู้สึกว่าลำบากน้อยกว่าวันที่เราลำบากโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย
เป็นกำลังใจให้กับทั้งคนที่กำลังลำบากและคนที่ไม่อยากลำบากนะครับ ว่า "...เขาจะทำตามสัญญา เหลือเวลาอีกไม่นานนนน...(น.หนูขวักไขว่)
แล้วคราวหน้าเราจะมาคุยกันต่อหลังจากได้บัญชีรายรับรายจ่ายของเดือนนึงแล้ว ว่าหลังจากตัดรายการที่ไร้สาระจนเกินไปออกหมดแล้วเราจะจัดการเงินที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุดยังไง จะเรียกว่าเป็นเคล็ดลับระดับ advance ก็ได้ครับ แล้วพบกันใหม่ครับ by๋e bye.
กว่าจะผ่าน"ช่วงฟื้นตัว" นี้ไปได้หลายคนคงหัวหมุนกับการหารายได้พิเศษเพื่อให้พอกับรายจ่ายที่นับวันจะเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ
นาทีนี้หากคุณยังไม่เจอหนทางหารายได้เพิ่มลองเก็บเรื่องนี้ใส่ลิ้นชักไปก่อนไม๊ เพราะผมมีเคล็ดลับที่จะพาคุณผ่าน"ช่วงฟื้นตัว"นี้ไปโดยที่บางทีคุณอาจไม่ต้องหัวหมุนหางานพิเศษทำหรือนำเงินเก็บ(ที่อาจมีไม่มาก..หรือมาก...ก็ช่างคุณสิ)ออกมาลงทุนทำอะไรที่แม่แต่ตัวคุณเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะคืนทุนเมื่อไหร่(หรือจะได้คืนหรือเปล่า)
เคล็ดลับที่ว่ามีเพียงข้อเดียวเท่านั้นครับ และใช่ว่าจะไม่เคยผ่านตาคุณมาก่อนเลย นั่นก็คือ การทำบัญชีรายรับรายจ่าย คนแถวบ้านก็เรียก บัญชีครัวเรือน อันเดียวกันนั่นแหละครับ บางคนอาจคิดว่า "อ่านมาตั้งนานนึกว่าจะอะไรซะอีก กะอีแค่ทำบัญชีรายรับรายจ่ายจะไปช่วยอะไร๊ จะทำให้ได้เงินเพิ่มได้ไง" ครับ ผมไม่เถียง มันไม่ได้ช่วยให้ได้เงินเพิ่มขึ้นมาหรอกครับ แต่มันเป็นวิธีที่จะบอกสถานะทางการเงินของคุณอย่างละเอียด(นอกจากดูจากจำนวนซองมาม่าในถังขยะตอนสิ้นเดือน) มันสามารถบอกคุณได้ว่าเดือนนึงคุณหมดเงินไปกับเรื่องไร้สาระอะไรบ้างและเท่าไร สมมุติบางคนคิดมากฝรั่งอาจจะซื้อวันละ 20 บาทน้ำอัดลมขวดนึง 10 บาท ขนมจุกจิก(แค่พอให้เข็มตัวเลขชี้บอกน้ำหนักคุณไม่ให้เบาไปกว่าเดือนก่อนๆ)อาจจะซัก 30 บาท ค่านู่นนี่นั่นอีก 30 บาทอะ ส่วนคุณผู้หญิงอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ทั้งค่าแป้งโบ๊ะหน้า สีทาปาก ทาตา ทาเล็บ ทาหัว ทาหู ทาอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายสุดที่จะจินตนาการไปถึง...สมัยนี้...เฮ่อ ต่างคนก็ต่างเหตุผลว่ากันไป
ก็นั้นแหละครับ บางคนฟังแล้วก็อาจจะคิดว่า "ก็มันเยอะตรงไหนรวมแล้วยังไม่ถึงร้อยเลยโด่...บางคนยังเยอะกว่านี้อีก"
ใช่ครับ แต่ละครั้งที่จ่ายมันไม่มากก็จริง บางทียื่นเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกงออกไปจากมือมันรู้สึกว่าน้อยมากๆ พอมารวมทั้งวันแล้วก็ยังไม่มากอยู่ดีแต่คุณลองเอาเลข 30 ไปคูณดูสิครับ สำหรับบางคนมันพอสำหรับค่าเช่าบ้านเลยนะครับ บางคนได้ค่าผ่อนรถ บางคนก็ได้ค่าขนมลูก ได้อะไรเยอะแยะที่บางเดือนคุณต้องหาจากที่อื่นมาโปะ นี่แค่เดือนเดียวนะ ถ้าปีหนึ่งล่ะ ได้เงินก้อนนึงเลยนะนั่น แล้วทีนี้คุณรู้แล้วใช่ไหมล่ะว่าเงินแค่วันละไม่ถึง 100 สิ้นเดือนหรือสิ้นปีมา มีค่ามหาศาลขนาดไหน
แต่ก็นั่นแหละ วิธีนี้มันก็เป็นแค่กุญแจดอกหนึ่ง ทำได้แค่ปลดล็อคเท่านั้น แต่จะผ่านพ้นมันไปได้คุณต้องดันประตูออกไป ใช่ครับ สุดท้ายก็ต้องเป็นตัวคุณเองนั่นแหละที่จะยอมรับความจริงว่าอันไหนสาระอันไหนไร้สาระ อยู่ที่คุณแล้วว่ากล้าพอหรือเปล่าที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตกล้าพอที่จะตัดอะไรๆ ออกไปบ้าง
พ่อของผมเคยบอกกับผมว่า "ยอมลำบากดีกว่าจำเป็นต้องลำบาก" หมายความว่าหากเรายอมรับสภาพและยินดีจะลำบากเราจะรู้สึกว่าลำบากน้อยกว่าวันที่เราลำบากโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย
เป็นกำลังใจให้กับทั้งคนที่กำลังลำบากและคนที่ไม่อยากลำบากนะครับ ว่า "...เขาจะทำตามสัญญา เหลือเวลาอีกไม่นานนนน...(น.หนูขวักไขว่)
แล้วคราวหน้าเราจะมาคุยกันต่อหลังจากได้บัญชีรายรับรายจ่ายของเดือนนึงแล้ว ว่าหลังจากตัดรายการที่ไร้สาระจนเกินไปออกหมดแล้วเราจะจัดการเงินที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุดยังไง จะเรียกว่าเป็นเคล็ดลับระดับ advance ก็ได้ครับ แล้วพบกันใหม่ครับ by๋e bye.
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ห้อง(โลก)ทดลอง
หลายวันก่อน หลังจากว่างจากงานเขียน ได้มีโอกาสไปนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์หลังบ้าน หลังจากอุดอู้อยู่หน้าคอมฯมานาน จู่ๆสายตาก็ไปพบเข้ากับเจ้ามดน้อยตัวหนึ่งที่กำลังเดินทางดั้นด้นหาอาหารข้ามกิ่งหญ้าเล็กๆจากกิ่งหนึ่งไปกิ่งหนึ่งเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
นึกสนุก เลยลองหยิบกิ่งไม้เล็กๆมาสองอันไปจ่อให้เจ้ามดน้อยตัวนั้นปีนขึ้นตรงปลายกิ่งไม้กิ่งหนึ่งมันก็เดินจนมาถึงปลายอีกด้านหนึ่งแล้วก็เอากิ่งไม้อีกอันมาจ่อให้ มันเดินต่อมันก็เดินวนอยู่อย่างนี้ ไปเรื่อย
ก็มานึกขำ ว่าเจ้ามดน้อยจะรู้ไหมนะว่ามันถูกมนุษย์แกล้งอยู่ จะรู้หรือเปล่าว่ากำลังเดินวนไปวนมาบนกิ่งไม้เดิมๆไม่ได้ไปไหนเลย
แล้วอย่างคนเรานี่ล่ะ ที่มีชีวิตอันวุ่นวายยุ่งเหยิงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี่ล่ะ คุณแน่ใจได้ยังไงว่าไม่ได้มีอะไรสักอย่างหนึ่งเฝ้ามองอยู่ภายใต้ครอบแก้วหรือสิ่งแวดล้อมจำลองที่พวกเขาสร้างขึ้น เหมือนๆกับที่เราเฝ้ามองมดที่ไต่กิ่งไม้จากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่งไม่รู้จักจบสิ้น
มันก็แค่ความคิดเล่นๆของสมองว่างๆ ยังไงก็แล้วแต่มดตัวนั้นมันก็ยังคงเดินหาอาหาร ใช้ชีวิตบนกิ่งไม้เล็กๆสองอันนั้นต่อไปจนสิ้นอายุของมัน อย่ากระนั้นเลยจำเราท่านก็อย่าได้อายมดมัน ใช้ชีวิตบนห้องทดลองที่เราเรียกว่า "โลก"ใบนี้ต่อ จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายกันเถิด แต่กว่าจะถึงวันนั้น ณ ขณะนี้ล่ะ คุณคิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไง.
นึกสนุก เลยลองหยิบกิ่งไม้เล็กๆมาสองอันไปจ่อให้เจ้ามดน้อยตัวนั้นปีนขึ้นตรงปลายกิ่งไม้กิ่งหนึ่งมันก็เดินจนมาถึงปลายอีกด้านหนึ่งแล้วก็เอากิ่งไม้อีกอันมาจ่อให้ มันเดินต่อมันก็เดินวนอยู่อย่างนี้ ไปเรื่อย
ก็มานึกขำ ว่าเจ้ามดน้อยจะรู้ไหมนะว่ามันถูกมนุษย์แกล้งอยู่ จะรู้หรือเปล่าว่ากำลังเดินวนไปวนมาบนกิ่งไม้เดิมๆไม่ได้ไปไหนเลย
แล้วอย่างคนเรานี่ล่ะ ที่มีชีวิตอันวุ่นวายยุ่งเหยิงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี่ล่ะ คุณแน่ใจได้ยังไงว่าไม่ได้มีอะไรสักอย่างหนึ่งเฝ้ามองอยู่ภายใต้ครอบแก้วหรือสิ่งแวดล้อมจำลองที่พวกเขาสร้างขึ้น เหมือนๆกับที่เราเฝ้ามองมดที่ไต่กิ่งไม้จากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่งไม่รู้จักจบสิ้น
มันก็แค่ความคิดเล่นๆของสมองว่างๆ ยังไงก็แล้วแต่มดตัวนั้นมันก็ยังคงเดินหาอาหาร ใช้ชีวิตบนกิ่งไม้เล็กๆสองอันนั้นต่อไปจนสิ้นอายุของมัน อย่ากระนั้นเลยจำเราท่านก็อย่าได้อายมดมัน ใช้ชีวิตบนห้องทดลองที่เราเรียกว่า "โลก"ใบนี้ต่อ จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายกันเถิด แต่กว่าจะถึงวันนั้น ณ ขณะนี้ล่ะ คุณคิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไง.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)